loading...
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 9 เม.ย ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ผบช.ปส พร้อมด้วยพล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ ผบก.ปส.3 พ.ต.อ.สมิต เชิงสะอาด พ.ต.อ.สุรภัค รอดโพธิ์ทอง พ.ต.อ.อดิศ เจริญศักดิ์ พ.ต.อ.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบก.ปส.3 พ.ต.อ.ชัยโรจน์ ชัยยะ รอง ผบก.ปส.2 โฆษก บช.ปส. พ.ต.อ.ณัทณพงศ์ หลิ่มวิรัตน์ ผกก.1 บก.ปส.3 และพ.ต.อ.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผกก.2 บก.ปส.3 ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมขบวนการลักลอบค้ายาเสพติด จำนวน 4 ราย ประกอบด้วยนายชาคริต หรือแฟรงค์ ช้างบุญชู อายุ 29 ปี ชาวฉะเชิงเทรา น.ส.ตวงพลอย ดวงดี อายุ 22 ปี ชาวสมุทรปราการ นายคมสันต์ หรือตี๋ แซ่จึง อายุ 22 ปี และนายชานนท์ หรือต้น วงษ์ยี่ อายุ 36 ปี
พล.ต.ท.เรวัช กล่าวต่อว่า จนกระทั่งถึงเวลานัดหมายพบนายคมสันต์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้เดินทางมาส่งมอบโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะและมีรูปพรรณสัณฐานตรงตามกับที่ได้รับรายงาน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอเข้าตรวจค้นก่อนขยายผลจับผู้ต้องหาทั้งหมดที่เหลือ ซึ่งนั่งรอรับเงินค่ายาเสพติดอยู่ภายในรถยนต์กระบะที่บริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อดังกล่าว พร้อมทั้งนำตัวนายชาคริต และน.ส.ตวงพลอย ไปตรวจค้นที่บ้านพักย่านรามอินทรา ซึ่งพบยาเคตามีนอีกจำนวน 189 ขวด ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางมาสอบสวนเพิ่มเติม
"อยากฝากเตือนถึงกลุ่มนักศึกษาหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่บช.ปส. จะเน้นมาตราการเข้าจับกุมกลุ่มนักศึกษาที่แอบลักลอบจำหน่ายค้ายาเสพติดอย่างเข้มงวดเนื่องจากเป็นตัวแพร่ระบาดได้ง่ายในกลุ่มเยาวชน" พล.ต.ท.เรวัช กล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์และยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนนายชาคริต และน.ส.ตวงพลอย ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐานความผิด ร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิต และประสาทประเภท 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตและมีไว้ครอบครองเกินประมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนบช.ปส. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ก่อนขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนและนำตัวมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ 11 เม.ย. ต่อไป
นอกจากนี้พล.ต.ท.เรวัช เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกรณีกลุ่มชาวภูฎาน อินเดีย และเนปาล ลักลอบขนยาเสพติดโดยการนำยาไอซ์บรรจุในถุกยางแล้วกลืนไปในร่างกาย และเกิดความผิดพลาดถุงยางแตกเสียชีวิตนั้น โดยการขนถ่ายยาเสพติดแต่เดิมทีมักจะเป็นคนผิวสีมีวิธีการหลอกหญิงสาวชาวไทยมาเป็นแฟนหรือภรรยา จากนั้นจะออกอุบายอ้างพาเหยื่อไปเยี่ยมญาติที่ต่างประเทศ โดยจะอาสาจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางให้ แต่กลับแอบซุกซ่อนยาเสพติดเข้าไปในกระเป๋าด้วย ซึ่งทางบช.ปส. เคยจับกุมมาแล้วกว่า 200 ราย โดยระยะหลังขบวนการยาเสพติดมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการส่งผ่านทางพัสดุไปรษณีย์ และวิธีสุดท้ายคือการนำยาเสพติดยัดใส่ถุงยางอนามัยก่อนกลืนลงไป แต่ก็เคยเกิดข้อผิดพลาดถุงแตกทำให้เสียชีวิตมาแล้วหลายราย ซึ่งการลำเลียงลักษณะนี้ส่วนใหญ่เป็นคนผิวสี แต่ก็เพิ่งเคยพบว่าชาวภูฎานใช้วิธีการลักษณะดังกล่าวเป็นครั้งแรก
loading...