loading...
กรณี เรื่องราววุ่นๆ ของครอบครัวเศรษฐีใหม่ นายยงยุทธ หรือธรรมรงค์ แก้วสวนจิก อยู่บ้านเลขที่ 114 ม.14 บ้านหนองบ่อ ต.หนองหาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี โชคดี ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 งวดวันที่ 16 ก.ย. รวม 5 คู่ ได้เงินรางวัลจำนวน 30 ล้าน แล้วต่อมาน.ส.เสาวณี หรือมด ทองวิเศษ บ้านเลขที่ 88 หมู่ 10 บ้านเดียม ต.เชียงแหว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ภรรยา ก็ได้ยื่นฟ้องนายยงยุทธ หรือธรรมรงค์ ต่อศาลเยาวชนและครอบครัว จ.อุดรธานี ขอให้รับรองบุตรและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท เนื่องจากถูกสามีทอดทิ้ง
อย่างไรก็ตาม นายยงยุทธ หรือนายธรรมรงค์ ชี้แจงว่าภรรยาต้องการให้ตนแบ่งเงินรางวัลให้ครึ่งหนึ่ง และมีเรื่องไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น จึงขอแยกกันสักพักเพื่อสร้าง หลักฐานให้ครอบครัว และฝากเงินกับกรุงไทยแอกซ่า ปีละ 5 แสน รวม 6 ปีจำนวน 3 ล้านบาท โดยจะเบิกจ่ายได้เมื่อายุครบ 10 ปี ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
วัน ที่ 14 ต.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 114 ม.14 บ้านหนองบ่อ ต.หนองหาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เพื่อพูดคุยกับนายยงยุทธ แก้วสวนจิก อายุ 37 ปี หนุ่มโชคดีกลายเป็นเศรษฐีในพริบตา แต่พบว่าไม่อยู่ที่บ้าน มีเพียงญาติๆ บอกว่านายยงยุทธเดินทางเข้าตัวเมืองอุดรธานี เพื่อปรึกษาหารือกับนักกฎหมาย กรณีถูกภรรยาฟ้องร้องเรียกค่าเลี้ยงดู
ผู้ สื่อข่าวจึงโทรศัพท์พูดคุยกับนายยงยุทธ ซึ่งนายยงยุทธกล่าวว่า หลังทราบข่าวว่าภรรยา ไปฟ้องศาลเยาวชนและครอบครัว เพื่อเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูลูกจากตนเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาทนั้น และเงินส่วนที่ควรได้จากตนอีกครึ่งหนึ่งนั้น รู้สึกไม่สบายใจ เมื่อมีข่าวออกไปว่าตนทอดทิ้งภรรยา ผู้คนในโลกออนไลน์ต่างโพสต์ข้อความด่าว่าตนต่างๆ นานา จนทำให้ตนเสียหายและเป็นทุกข์ใจมาก ยังยืนยันว่าตอนนี้ยังเคลียร์ไม่ลงตัวกับภรรยา ซึ่งก็มีเหตุผลของตน ตอนนี้มาปรึกษาทนายความ เพื่อยื่นฟ้องกลับภรรยา และฟ้องร้องขอเลี้ยงดูลูกเองหากเป็นไปได้ ซึ่งต้องรอทีมกฎหมายให้คำแนะนำก่อน ตอนนี้ขอเวลาในการศึกษาข้อกฎหมายว่าจะฟ้องร้องในเรื่องใดบ้าง แต่หากตกลงกับภรรยาไม่ได้ก็คงต้องเลิกกัน
นายยงยุทธกล่าว อีกว่าอยากจะเล่าเรื่องชีวิตความลำบากของตนให้ทุกคนได้รับทราบว่าตนไม่ใช่คน ที่จะทอดทิ้งลูกเมีย แต่เป็นคนพอเพียงเกิดจากท้องไร่ท้องนา เมื่อมีเงินก้อนโตก็กลัวว่าหากไม่ระมัดระวังในการใช้จ่าย มันจะหมดไปโดยเร็ว เมื่อเราหลงระเริงกับมัน ซื้อความสุขใส่ตัวมากไป ก็จะกลับมาลำบากอีก คราวนี้จะอับอายเขามากกว่านี้ ตนเรียนจบไม่สูง ช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา ที่นาพ่อแม่ก็ไม่มีเป็นของตัวเอง ต้องเช่าเขาทำกิน ตอนนี้ตนก็ซื้อคืนมาเป็นของตัวเองได้แล้ว ซึ่งมันเป็นฝันที่เป็นจริง
นาย ยงยุทธกล่าวว่าช่วงเป็นหนุ่มทำงานเป็นเด็กปั๊มน้ำมันแล้วออกไปทำงานเก็บเงิน รายวันให้กับบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเงิน ผ่อน แต่มีปัญหากับทีมงานเก็บเงิน ที่ทำ เงินขาดประมาณ 3 แสนบาท พ่อเสียชีวิต แม่ก็แก่ชรา ตนต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำแม่ จนแม่เสียชีวิตลง ช่วงที่เก็บเงินผ่อนเครื่อง ใช้ไฟฟ้า ก็ได้รู้จักกับ น.ส.เสาวณี คบหา กัน 2 ปี จึงได้พากันลาออกไปหางานทำที่กรุงเทพฯ อยู่กินด้วยกัน เกือบปีก็มีลูกด้วยกัน 1 คน
นายยงยุทธกล่าวต่อไปอีกว่า ช่วงลำบากเมื่อกลับมาบ้านตนก็พาภรรยาขายไก่ย่างส้มตำอยู่ที่ริมทางใกล้บ้าน อาศัยพักนอนกับบ้านญาติ เพราะตนไม่มีบ้านจะอยู่อาศัย เมื่อถูกรางวัลที่ 1 จึงวางแผนเอาไว้ว่าเงินจำนวน 30 ล้านนั้นตนต้องบริหารให้ดี จึงมอบให้ภรรยา 5 แสนบาท ให้แม่ยาย 5 แสนบาท ให้ลูกชาย 2 แสนบาท ฝากประจำกองทุนออมทรัพย์ให้ลูกอีก 5 แสนบาท และอีกปีละ 5 แสนบาทนาน 6 ปี ครบ 10 ปี จึงจะตกเป็นของลูกทั้งหมด
นายยงยุทธกล่าวต่อ ว่านอกนั้นช่วยเหลือญาติพี่น้องที่เจ็บป่วย ใช้หนี้บริษัทเดิมที่มีปัญหา รถกระบะเพิ่งจะซื้อเกือบล้านบาท และรถไถนา เอามาไว้รับจ้าง ซื้อที่ดินได้แล้วเกือบ 40 ไร่ ซึ่งก็เป็นที่นาที่ตนกับพ่อเคยเช่าเขาทำกิน เพื่อที่จะสร้างบ้านพักชั้นเดียวเพื่อได้อยู่อาศัย หากได้เลิกรากับภรรยา ตนก็จะยกให้ลูกอยู่แล้ว เงินที่เหลือ 20 ล้าน ตนฝากประจำถอนไม่ได้ ถอนได้เมื่อครบ 8 เดือน ซึ่งตนวางแผนไว้ว่าจะถอนเอาดอกเบี้ยมาใช้จ่าย และบางส่วนเพื่อปรับปรุงสร้างบ้านพักโฮมสเตย์ให้คนมาเช่าหารายได้ เมื่อสร้างบ้านเสร็จ ก็จะไปบวชสักพัก แล้วจะกลับมาเคลียร์เรื่องทั้งหมด แต่เมื่อเกิดปัญหามาก่อนแบบนี้ก็ต้องปรึกษาทนายความสู้คดีกับภรรยาก่อน
ต่อ มาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 88 หมู่ 10 บ้านเดียม ต.เชียงแหว อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี บ้านของน.ส.เสาวณี หรือมด ทองวิเศษ อายุ 28 ปี ภรรยาของนายยงยุทธ พบว่าเป็นบ้านปูนเก่าๆ ชั้นเดียว อยู่ใกล้กับบ้านญาติๆ ที่เป็นบ้านไม้ยกสูง มีน.ส.เสาวณีและญาติๆ ต่างจับกลุ่มหลบแดดอยู่ใต้ถุนบ้าน พร้อมพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความสนใจ และวิพากษ์วิจารณ์กรณีนาย ยงยุทธให้สัมภาษณ์ด้วยความสนใจ
น.ส.เสาวณีกล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับสามี ออกมาบอกว่าจะไม่รับตนเป็นภรรยาจะรับเฉพาะลูกเท่านั้น ตนขอถามย้อนกลับไปว่า ช่วงลำบากด้วยกันที่คบกัน 2 ปี ไม่ใช่ตนหรือที่ทำงานใช้หนี้เงินดอกให้ สร้อยคอทองคำที่แม่ซื้อให้ก็ถอดไปจำนำเพื่อหาเงินใช้หนี้ให้ พร้อมกับกล่าวทั้งน้ำตาว่า ช่วงที่จะคลอดลูก ขอยืมรถยนต์เพื่อเอาไว้ หาก เจ็บท้องคลอดลูกจะได้ให้พี่ชายขับไป โรงพยาบาลทัน แต่ก็ไม่ให้ยืม และตั้งแต่ถูกหวยกลับมาอยู่บ้านนายยงยุทธแวะมาเยี่ยมลูกเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งมาล่าสุดยังบอกว่าบ้านสกปรกอยู่ไม่ได้ แต่ก่อนทำไมอยู่ได้ เคยบ้างไหมตั้งแต่ถูกหวยที่จะมารับภรรยากับลูกไปรับประทานอาหารดีๆ ก็ไม่เคย และตั้งแต่ถูกหวยลูกป่วยมาตลอด ก็ไม่เคยมาดูแลลูก
น.ส.เสาว ณีกล่าวต่ออีกว่า ส่วนสาเหตุที่ตนต้องไปเรียกร้องสิทธิ เพราะว่าสามีเป็นคนส่งข้อความมาหาตนเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ก่อนไปศาลแค่วันเดียว "เลิกกันเถอะ เราคงไปด้วยกันไม่ได้ ลูกอ้ายอ้ายกะฮู้ว่าเธอบ่ให้ อ้ายจะส่งเงินให้ทุกเดือนเอง กับจะลงทุนให้ทำมาหากินแบบพอเพียง อ้ายกะยังบ่มีคนอื่นดอก เบื่ออารมณ์ของเธออยู่นำกันไปกะบ่มีความสุข พอเถอะ" จึงทำให้ตนและลูกรู้แล้วว่าถูกทิ้งแน่นอน
น.ส.เสาวณีกล่าว ว่าถามว่าเบื่ออารมณ์เมียแล้ว 2 ปีทำไมอยู่ได้ มาถึงนี้แล้วตนเองก็ยังจะขอเรียกร้องสิทธิที่พึงจะได้ของภรรยาและลูกแม้จะ ไม่ได้จดทะเบียนก็ตาม ก็คงต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทางทนายความนัดว่าจะเรียกไปพบอีกครั้งประมาณปลาย เดือนหน้า
น.ส.เสาว ณีกล่าวต่อไปอีกว่า ตั้งแต่วันถูกหวยก็ไปรับเงินด้วยกันเอาไว้ในบัญชีของเขาทั้งหมด ตนก็ไม่ว่าอะไร เพราะคิดว่าเขาคงไม่ทอดทิ้งลูกเมีย เมื่อกลายเป็นเศรษฐีใหม่ เมื่อให้เขาไปหมดทั้งกายทั้งใจ มีลูกสายเลือดของเขาเขาคงจะไม่ทอดทิ้งเราแน่นอน จึงเชื่อใจเดินทางกลับมาอยู่บ้านกับลูก ซึ่งเขาสัญญาว่าจะมาสร้างบ้านใหม่ให้ตนกับลูก เขาก็ไม่ทำ เขาสัญญาว่าจะซื้อที่ดินให้ 1 แปลงเพื่อสร้างบ้านพักโฮมสเตย์ รีสอร์ต สักสองสามหลังให้คนมาเที่ยวทะเลบัวแดง ได้พักผ่อนเพื่อเป็นรายได้ของตนและครอบครัว เขาก็ไม่ทำ
"แล้ว ไปซื้อรถใหม่ ซื้อที่ดิน เตรียมสร้างบ้าน แต่ไม่เคยพาลูกเมียไปดูเลยว่าอยู่ตรงไหน โทรศัพท์ไปก็บอกว่าไม่ว่าง มีแต่จะขอเลิกอย่างเดียว มันเปลี่ยนไปหมดตั้งแต่มีเงินก้อนโต 30 ล้านเข้ามาในชีวิตของเขา ขนาดพ่อของหนู ซึ่งแยกกันอยู่กับแม่ ถ่อสังขารว่าจ้างรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านให้ไปส่ง เพื่อไปเจรจากับลูกเขย ว่าทำไมทอดทิ้งลูกเมีย ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลย ไม่ต้อนรับ ปล่อยให้ญาติๆ ออกมาคุยแทน" น.ส.เสาวณีกล่าว
น.ส.เสาว ณีกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ในช่วงที่สามีตกทุกข์มีหนี้สินกว่า 3 แสนบาทเมื่อมีปัญหากับทางบริษัทเก่าที่ทำงานเก็บเงินค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า จนต้องหนีไปทำงานที่กรุงเทพฯ ครอบครัวของตนก็ช่วยเหลือมาตลอด รถยนต์ กระบะมิตซูบิชิ สีเทา ทะเบียน ผก 4884 อุดรธานี ที่จะถูกยึดก็ขอเขามาไว้ใช้ตอนที่ใกล้จะคลอดลูก ตอนนี้เขาเอามาให้ แต่ก็ยังเป็นชื่อเขาอยู่ จนกระทั่งให้โชคถูกรางวัลที่ 1 เขาบอกว่ายกให้แต่ก็เป็นชื่อของเขา
"อีกเรื่องที่โกรธมากคือ เขาไปบอกกับญาติๆ และชาวบ้านในหมู่บ้านว่า หนูมีคนใหม่ จึงได้ทิ้งไป เขากุเรื่องขึ้นมาเพื่อจะแยกทาง มีแต่บอกว่าคุยกันทะเลาะกันก็ต้องแยกทางกัน ทีเมื่อก่อนไม่มีเงิน ทำไมไม่ขอแยกทาง" น.ส.เสาวณีกล่าว
Credit: http://www.siamupdate.com/news-177724
loading...